Month: มกราคม 2024

อดทนในพระเยซู

ตอนที่ฉันเรียนในโรงเรียนพระคริสตธรรมเมื่อหลายปีก่อน เรามีการนมัสการประจำทุกสัปดาห์ ในการนมัสการครั้งหนึ่งขณะที่นักศึกษากำลังร้องเพลง “องค์พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์และทรงใหญ่ยิ่ง” ฉันเห็นอาจารย์ที่เรารักมากสามคนร้องเพลงอย่างสุดหัวใจ ใบหน้าของพวกท่านเปล่งประกายความยินดี ซึ่งเป็นเพราะความเชื่อที่พวกท่านมีต่อพระเจ้าเท่านั้น หลายปีต่อมา ขณะที่อาจารย์แต่ละท่านต้องเผชิญกับอาการป่วยระยะสุดท้าย ความเชื่อนี้เองที่ทำให้ท่านสามารถอดทนได้และเป็นที่หนุนใจแก่ผู้อื่น

วันนี้ ความทรงจำถึงพวกอาจารย์ที่ร้องเพลงนั้นยังคงเป็นกำลังใจให้ฉันสู้ต่อไปเมื่อเกิดการทดลอง สำหรับฉันแล้ว เรื่องของอาจารย์นี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆเรื่องราวที่น่าประทับใจของผู้ที่มีชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ เรื่องของพวกเขาเตือนเราถึงวิธีการทำตามสิ่งที่ผู้เขียนพระธรรมฮีบรู 12: 2-3 บอก คือให้เราเพ่งมองที่พระเยซูผู้ “ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความริื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์” (ข้อ 2)

เมื่อเกิดการทดลอง ไม่ว่าจากการถูกข่มเหงหรือความทุกข์ยากในชีวิตซึ่งทำให้ยากที่จะไปต่อ เรามีตัวอย่างจากคนเหล่านั้นที่ยึดพระวจนะของพระเจ้าและวางใจในพระสัญญาของพระองค์ เราสามารถ “วิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายามตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา” (ข้อ 1) ให้จดจำไว้ว่า พระเยซูและคนเหล่านั้นที่ล่วงหน้าไปก่อนเราสามารถอดทนได้ ผู้เขียนหนุนใจให้เรา “คิดถึงพระองค์...เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้ไม่รู้สึกท้อถอย” (ข้อ 3)

อาจารย์ของฉันตอนนี้พวกท่านมีความสุขอยู่ในสวรรค์ และท่านน่าจะอยากบอกว่า “ชีวิตแห่งความเชื่อนั้นคุ้มค่าจริงๆ ขอจงสู้ต่อไป”

คนงานของพระเจ้า

ในค่ายผู้อพยพแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง เมื่อเรซ่าได้รับพระคัมภีร์เขาก็ได้มารู้จักและเชื่อในพระเยซู คำอธิษฐานแรกของเขาในพระนามพระเยซูคริสต์คือ “โปรดใช้ข้าพระองค์ให้เป็นคนงานของพระองค์เถิด” ต่อมาภายหลังที่เขาออกจากค่ายไปแล้ว พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานนั้น เขาได้งานอย่างไม่คาดฝันที่องค์กรบรรเทาทุกข์ ซึ่งเขาได้กลับมาที่ค่ายนั้นเพื่อรับใช้ผู้คนที่เขารู้จักและรัก เขาตั้งกลุ่มชมรมกีฬา ชั้นเรียนภาษา และให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย “อะไรก็ได้ที่ให้ความหวังแก่ผู้คน” เขาเห็นโครงการต่างๆเหล่านี้เป็นหนทางที่จะรับใช้ผู้อื่นและแบ่งปันความรักและพระปัญญาของพระเจ้า

เมื่อเรซ่าอ่านพระคัมภีร์ เขารู้สึกมีความเชื่อมโยงกับเรื่องของโยเซฟในปฐมกาลทันที เขาสังเกตถึงการที่พระเจ้าทรงใช้โยเซฟให้ทำงานของพระองค์ต่อไปขณะที่ท่านอยู่ในคุก เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับโยเซฟ พระองค์สำแดงความเมตตาและประทานความโปรดปรานให้ท่าน พัศดีได้ให้โยเซฟเป็นผู้ดูแลจนท่านเองไม่ต้องทำงานใดๆเลยเพราะพระเจ้าทรงประทาน “ความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ” (ปฐก.39:23 TNCV)

พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเราเช่นกัน ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับการถูกคุมขัง (ทั้งถูกขังจริงหรือเป็นการเปรียบเทียบ) ความยากลำบาก การพลัดถิ่นฐาน ความปวดร้าวใจ หรือความโศกเศร้า เราไว้วางใจได้ว่าพระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งเรา เช่นเดียวกับที่ทรงช่วยให้เรซ่าได้รับใช้ผู้ที่อยู่ในค่ายนั้นและช่วยโยเซฟจัดการกับงานในคุก พระองค์ก็จะทรงอยู่ใกล้เราเสมอไป

คำของ่ายๆ

“อย่าลืมทำความสะอาดห้องด้านหน้าก่อนเข้านอนนะลูก” ฉันพูดกับลูกสาวคนเล็ก เธอตอบกลับมาทันทีว่า “แล้วทำไมพี่ไม่ต้องทำล่ะคะ”

การต่อต้านเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นเสมอในบ้านเมื่อลูกๆยังเล็กอยู่ ฉันก็จะตอบสนองเหมือนเดิมทุกครั้งคือ “ไม่ต้องห่วงเรื่องพี่หรอก เพราะแม่ขอให้หนูทำ”

ในยอห์น 21 เราเห็นนิสัยแบบนี้ของมนุษย์ในท่ามกลางเหล่าสาวก พระเยซูเพิ่งจะนำเปโตรกลับคืนมา หลังจากที่ท่านปฏิเสธพระองค์ไปแล้วสามครั้ง (ดู ยน. 18:15-18, 25-27) ตอนนี้พระเยซูพูดกับเปโตรว่า “จงตามเรามาเถิด” (21:19) ซึ่งเป็นคำสั่งง่ายๆแต่เจ็บปวด แล้วพระเยซูอธิบายว่าเปโตรจะติดตามพระองค์ไปจนตัวเองต้องตาย (ข้อ 18-19)

เปโตรยังไม่ทันจะได้ทำความเข้าใจคำพูดของพระเยซูก่อนที่ท่านจะถามไปถึงสาวกที่อยู่ด้านหลังว่า “พระองค์เจ้าข้า คนนี้จะเป็นอย่างไร” (ข้อ 21) พระเยซูตอบว่า “ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า” แล้วบอกว่า “เจ้าจงตามเรามาเถิด” (ข้อ 22)

บ่อยครั้งเหลือเกินที่เราก็เป็นเหมือนเปโตร! เราสงสัยถึงเส้นทางความเชื่อของผู้อื่น และไม่ได้สนใจว่าพระเจ้าทรงกำลังทำอะไรในชีวิตของเรา ในช่วงบั้นปลายชีวิตเมื่อความตายที่พระเยซูบอกไว้ล่วงหน้าในยอห์น 21 ใกล้เข้ามา เปโตรอธิบายคำสั่งง่ายๆของพระคริสต์เพิ่มเติมว่า “โดยที่ท่านเป็นบุตรที่เชื่อฟัง ขออย่าได้ประพฤติตามกิเลส ตัณหา อย่างที่เกิดจากความโง่เขลาของท่านในกาลก่อน แต่เพราะพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทั้งหลายนั้นบริสุทธิ์ ท่านทั้งหลายจงประพฤติให้บริสุทธิ์พร้อมทุกประการ” (1ปต.1:14-15) แค่นี้น่าจะเพียงพอแล้วที่ทำให้เราแต่ละคน มุ่งความสนใจของเราไปที่พระเยซู ไม่ใช่ที่คนรอบข้างเรา

เสียงเรียกให้อธิษฐาน

อับราฮัม ลินคอล์นเปิดเผยกับเพื่อนคนหนึ่งว่า “หลายต่อหลายครั้งที่ผมถูกผลักดันให้คุกเข่าลงอธิษฐาน เพราะผมเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าผมไม่มีที่พึ่งอื่นอีกแล้ว” ในช่วงเวลาอันเลวร้ายของสงครามกลางเมืองในอเมริกา ประธานาธิบดีลินคอล์นไม่ได้เพียงแค่ใช้เวลาในการอธิษฐานอย่างร้อนรนเท่านั้น แต่ยังเรียกร้องให้ทั้งประเทศมาร่วมกับท่านด้วย ในปีค.ศ. 1861 ท่านประกาศให้มี “วันแห่งความถ่อมใจ อธิษฐาน และอดอาหาร” และท่านก็ประกาศเช่นเดียวกันอีกในปีค.ศ. 1863 โดยกล่าวว่า “ทั้งประเทศชาติและประชาชนต่างก็มีหน้าที่เช่นเดียวกันที่จะต้องพึ่งพาฤทธิ์อำนาจสูงสุดของพระเจ้าในการลบล้างความผิด ด้วยการสารภาพความผิดบาปด้วยความเสียใจและถ่อมใจ โดยยังคงมั่นใจในความหวังว่าการกลับใจอย่างแท้จริงจะนำไปสู่พระเมตตาและการอภัย”

หลังจากที่คนอิสราเอลถูกจับไปเป็นเชลยในบาบิโลนเป็นเวลาเจ็ดสิบปีกษัตริย์ไซรัสทรงมีประกาศว่าชนอิสราเอลคนใดก็ตามที่ต้องการกลับไปยังเยรูซาเล็มก็ให้กลับไปได้ เมื่อเนหะมีย์ซึ่งเป็นคนอิสราเอล (นหม.1:6) และเป็นพนักงานเชิญถ้วยเสวยของกษัตริย์แห่งบาบิโลน (ข้อ 11) ได้ยินว่าคนเหล่านั้นที่กลับไป “มีความลำบากและความอับอายมาก” (ข้อ 3) ท่าน “นั่งลงร้องไห้” และโศกเศร้า อดอาหารและอธิษฐานอยู่หลายวัน (ข้อ 4) ท่านปล้ำสู้อธิษฐานเพื่อชนชาติของท่านเอง (ข้อ 5-11) และต่อมา ท่านก็ขอให้คนของท่านอดอาหารและอธิษฐานด้วยเช่นกัน (9:1-37)

หลายศตวรรษต่อมาในยุคของจักรวรรดิโรมัน เปาโลร้องขอให้ผู้อ่านจดหมายของท่านอธิษฐานเพื่อผู้ที่มีตำแหน่งสูงเช่นกัน (1ทธ.2:1-2) พระเจ้าของเรานั้นยังทรงสดับฟังคำอธิษฐานที่เราทูลในเรื่องต่างๆที่ส่งผลต่อชีวิตของผู้อื่นอยู่เสมอ

รักเกินกว่าจะนับได้

“ฉันรักเธออย่างไร ฉันจะนับให้ดู” เป็นถ้อยคำจากบทกวีชื่อว่าซอนเน็ตจากโปรตุเกส ของเอลิซาเบ็ธ แบร์เร็ต บราวนิ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในบทกวีภาษาอังกฤษที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด โดยเธอได้เขียนให้กับโรเบิร์ต บราวนิ่งก่อนที่ทั้งสองจะแต่งงานกัน และเขารู้สึกประทับใจมากจึงสนับสนุนให้เธอตีพิมพ์งานรวมบทกวีทั้งหมด แต่เนื่องจากภาษาของบทกวีสื่อถึงอารมณ์อันอ่อนไหว และเธอต้องการสงวนความเป็นส่วนตัวไว้แบร์เร็ตจึงได้จัดพิมพ์ให้ดูเหมือนว่าเป็นบทกวีที่แปลมาจากผู้เขียนชาวโปรตุเกส

บางครั้งเราอาจรู้สึกเคอะเขินเมื่อเราแสดงความรักต่อผู้อื่นอย่างเปิดเผย แต่ตรงกันข้ามกับพระคัมภีร์ที่ไม่ได้ปิดบังการแสดงความรักของพระเจ้า เยเรมีย์ได้บรรยายความรักที่พระเจ้ามีต่อคนของพระองค์ด้วยถ้อยคำอันอ่อนโยนว่า “เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป” (ยรม.31:3) แม้คนของพระองค์ได้หันหลังให้กับพระองค์ แต่พระเจ้าก็ทรงสัญญาว่าจะนำพวกเขากลับมาสู่สภาพดีและนำพวกเขาเข้ามาใกล้ชิดพระองค์ โดยตรัสว่า “เราจะมาเพื่อให้อิสราเอลได้พักสงบ” (ข้อ 2 TNCV)

พระเยซูคือการสำแดงขั้นสูงสุดถึงความรักของพระเจ้าที่นำเรากลับมาสู่สภาพดี โดยทรงมอบสันติสุขและการหยุดพักให้แก่ผู้ที่หันมาหาพระองค์ จากรางหญ้าสู่ไม้กางเขนและสู่อุโมงค์ว่างเปล่า พระเยซูทรงเป็นตัวแทนความปรารถนาของพระเจ้าที่จะเรียกผู้คนในโลกที่ดื้อดึงให้มาหาพระองค์ ให้คุณอ่านพระคัมภีร์ตั้งแต่ต้นจนจบแล้วคุณจะเห็นถึงความรักของพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าจน “เกินจะนับได้” รักนั้นคงอยู่ชั่วนิรันดร์ และคุณจะไม่มีวันมาถึงจุดสิ้นสุดของรักนั้น

พระผู้ช่วยที่ช่วยอย่างเต็มใจ

ขณะขับรถในยามดึก นิโคลัสเห็นบ้านหลังหนึ่งไฟไหม้ เขาจึงจอดรถตรงทางเข้าแล้วรีบเข้าไปในบ้านที่ไฟลุกท่วม และพาเด็กสี่คนออกมาอย่างปลอดภัย เมื่อพี่เลี้ยงเด็กที่เป็นวัยรุ่นรู้ว่ายังมีเด็กอีกหนึ่งคนอยู่ข้างใน เธอจึงบอกนิโคลัส และเขาก็ไม่ลังเล ที่จะรีบกลับเข้าไปในกองเพลิงนั้น เมื่อติดอยู่บนชั้นสองกับเด็กหญิงอายุหกขวบ เขาจึงทุบหน้าต่างและกระโดดลงมายังที่ปลอดภัยโดยมีเด็กน้อยอยู่ในอ้อมแขน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ทีมกู้ภัยเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ นิโคลัสเลือกที่จะเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองด้วยการช่วยชีวิตเด็กๆทุกคน

นิโคลัสแสดงความกล้าหาญโดยเต็มใจจะเสียสละความปลอดภัยของตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น การแสดงความรักอันทรงพลังนี้สะท้อนถึงความรักที่เสียสละแบบเดียวกันที่สำแดงโดยองค์พระผู้ช่วยผู้เต็มใจมอบชีวิตของพระองค์เพื่อปลดปล่อยเราจากบาปและความตาย คือองค์พระเยซู “ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม” (รม.5:6) อัครสาวกเปาโลเน้นว่า พระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ในสภาพเนื้อหนังและทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ได้ทรงเลือกที่จะสละชีวิตของพระองค์และจ่ายราคาเพื่อบาปของเรา ซึ่งเป็นราคาที่เราไม่มีวันจะจ่ายได้ด้วยตัวเอง “พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (ข้อ 8)

เมื่อเราขอบพระคุณและวางใจในพระเยซู ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยที่ช่วยเราอย่างเต็มใจนั้น พระองค์ก็จะมอบกำลังให้เรารักผู้อื่นได้อย่างเสียสละทั้งโดยทางคำพูดและการกระทำของเรา

พร้อมแล้วสำหรับการฟื้นฟูจากพระเจ้า

ภาพต่างๆที่ส่งมาจากข้อความของเพื่อนนั้นน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ ภาพที่เขามอบของขวัญเซอร์ไพรส์ให้ภรรยาเป็นรถฟอร์ดมัสแตงปี 1965 ซึ่งได้รับการฟื้นฟูสภาพใหม่ ภายนอกเป็นสีน้ำเงินเข้มสดใส ขอบโครเมี่ยมแวววาวส่วนภายในหุ้มเบาะใหม่สีดำ และเครื่องยนต์ที่เข้ากันได้กับชิ้นส่วนใหม่อื่นๆ และยังมีภาพรถ “ก่อน” การซ่อมที่เป็นสีเหลืองเก่าๆ ทรุดโทรมและไม่น่าประทับใจ แม้จะนึกภาพย้อนไปได้ยาก แต่ดูเหมือนตอนที่รถคันนี้ถูกผลิตและปล่อยออกจากโรงงาน ก็น่าจะดึงดูดสายตาของผู้คนเช่นกัน แต่กาลเวลา การสึกหรอ และปัจจัยอื่นๆทำให้มันพร้อมแล้วที่จะได้รับการฟื้นฟูสภาพขึ้นใหม่

พร้อมแล้วสำหรับการฟื้นฟู! นี่คือสภาพประชากรของพระเจ้าในสดุดี 80 และคำอธิษฐานซ้ำๆว่า “ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้กลับสู่สภาพดี ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสง เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะรอด” (ข้อ 3, ดูข้อ 7,19) แม้ประวัติศาสตร์ของพวกเขาจะมีทั้งการช่วยกู้จากอียิปต์และการมีถิ่นที่อยู่ใหม่ในแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ (ข้อ 8-11) แต่เวลาดีๆเหล่านั้นได้จากไปแล้ว เนื่องจากการกบฎ พวกเขาจึงพบกับพระหัตถ์แห่งการพิพากษาของพระเจ้า (ข้อ 12-13) ดังนั้นพวกเขาจึงร้องทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา ขอทรงหันกลับเถิดพระเจ้าข้า ขอทรงมองจาก ฟ้าสวรรค์และทรงเห็น” (ข้อ 14)

คุณเคยรู้สึกเบื่อหน่าย ห่างเหินหรือถูกตัดขาดจากพระเจ้าไหม ความชื่นบานอิ่มเอมในจิตใจขาดหายไปหรือไม่ เป็นเพราะเราไม่ได้เข้าส่วนกับพระเยซูและพระประสงค์ของพระองค์หรือไม่ พระเจ้าทรงสดับฟังคำทูลขอการฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพดีของเรา (ข้อ 1) แล้วจะมีสิ่งใดที่ทำให้คุณไม่ทูลขอต่อพระองค์

ความหมายของมดยอบ

วันนี้เป็นวันเอพิฟานี (Epiphany) คือวันระลึกถึงเหตุการณ์ที่มีบรรยายไว้ในบทเพลงคริสต์มาสที่ชื่อ “เราทั้งสามคือพวกโหรา” เมื่อนักปราชญ์ชาวต่างชาติพากันมาหาพระกุมารเยซู และดูเหมือนว่าพวกเขาน่าจะมีมากกว่าสามคน

แต่ของขวัญนั้นมีสามอย่าง และบทเพลงนี้พูดถึงของขวัญแต่ละอย่าง เมื่อโหราจารย์มาถึงเมืองเบธเลเฮม “แล้วเปิดหีบหยิบทรัพย์ของเขาออกมาถวายแก่กุมารเป็นเครื่องบรรณาการ คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ” (มธ.2:11) ของขวัญนี้เป็นสัญลักษณ์ถึงภารกิจของพระเยซู ทองคำแสดงถึงบทบาทของพระองค์ในฐานะกษัตริย์ กำยานผสมกับเครื่องหอมที่เผาในพระวิหารหมายถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ส่วนมดยอบที่ใช้รักษาสภาพศพนั้นทำให้เราต้องหยุดคิด

บทที่สี่ของเนื้อเพลงกล่าวว่า “มดยอบเป็นของฉัน กลิ่นหอมอันแสนขมเป็นกลิ่นแห่งชีวิตอันหมองหม่น ความเศร้าโศก เสียงถอนหายใจ โลหิตที่หลั่งไหล การสิ้นพระชนม์ ได้ถูกผนึกไว้ในสุสานหินอันเยือกเย็น”(ถอดความตามต้นฉบับภาษาอังกฤษ) เราคงไม่เขียนฉากนี้เข้าไปในเรื่อง แต่พระเจ้าได้ทรงเขียนเอาไว้ ความตายของพระเยซูเป็นศูนย์กลางแห่งความรอดของเรา แม้แต่เฮโรดก็ยังพยายามจะประหารพระเยซูขณะที่พระองค์ยังเป็นเด็ก (ข้อ 13)

บทสุดท้ายของเพลงนี้ผสานทั้งสามสิ่งเข้าด้วยกันว่า “ดูเถิด บัดนี้พระองค์ทรงพระเกียรติ ทรงเป็นราชา เป็นพระเจ้า และเป็นเครื่องบูชา” และนี่ทำให้เรื่องราวคริสต์มาสจบลงอย่างสมบูรณ์ จุดประกายให้เราอดไม่ได้ที่จะร้องตอบว่า “ฮาเลลูยา ฮาเลลูยา ดังก้องทั่วผืนดินและท้องฟ้า”

พระเจ้าที่ทางแยก

สามีของฉันป่วยมาหลายวันจนเมื่ออุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงขึ้น เขาจึงต้องเข้ารับการรักษาฉุกเฉิน โรงพยาบาลรับตัวเขาไว้ทันที แต่ละวันผ่านไปอาการของเขาดีขึ้น แต่ยังไม่ดีพอที่จะออกจากโรงพยาบาลได้ ฉันต้องเผชิญกับทางเลือกที่น่าลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างการอยู่กับสามีหรือการเดินทางไปทำงานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผู้คนและโครงการต่างๆมากมาย สามียืนยันกับฉันว่าเขาไม่เป็นไร แต่ฉันรู้สึกว่ายากเหลือเกินที่จะต้องเลือกระหว่างสามีและงาน 

คนของพระเจ้าก็ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์เมื่อมาถึงทางแยกแห่งการตัดสินใจของชีวิต บ่อยครั้งเหลือเกินที่พวกเขาไม่ได้ยึดมั่นในคำแนะนำที่พระองค์ทรงบอกไว้ ดังนั้นโมเสสจึงเรียกร้องให้พวกเขา “เลือกเอาข้างชีวิต” ด้วยการทำตามพระบัญชาของพระองค์ (ฉธบ.30:19) ต่อมาผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ได้มอบคำแนะนำให้กับบรรดาผู้ที่ดื้อดึงต่อพระเจ้า โดยขอร้องให้พวกเขาเดินตามทางของพระองค์ว่า “จงยืนที่ถนนและมองให้ดี และถามหาทางโบราณนั้นว่าทางดีอยู่ที่ไหน แล้วจงเดินในทางนั้น” (ยรม.6:16) เส้นทางโบราณแห่งพระคัมภีร์และสิ่งที่พระเจ้าเคยจัดเตรียมไว้ให้เราในอดีตสามารถนำทางเราได้

ฉันนึกภาพว่าตัวเองยืนอยู่ตรงถนนที่เป็นทางแยกจริงๆและนำรูปแบบคำสอนที่ทรงปัญญาของเยเรมีย์มาประยุกต์ใช้ สามีต้องการฉัน งานของฉันก็เช่นกัน และตอนนั้นเองหัวหน้าก็โทรมาหาและหนุนใจให้ฉันอยู่บ้าน ฉันหยุดคิดและขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงจัดเตรียมของพระองค์ที่ทางแยกนั้น ทางที่พระเจ้านำเราไปนั้นมักไม่ได้ปรากฏอย่างชัดเจนเสมอไป แต่จะปรากฏแน่นอน เมื่อเรายืนอยู่ที่ทางแยก ให้เราแน่ใจว่าเรามองหาพระองค์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา